มะเขือเทศ
มะเขือเทศ ชื่อสามัญ Tomato
มะเขือเทศ ชื่อวิทยาศาสตร์ Lycopersicon esculentum Mill. จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)
มะเขือเทศคือผักหรือผลไม้ ?
คำตอบ "มะเขือเทศคือผลไม้" ซึ่งเป็นไปตามคำนิยามของหลักทางพฤกษศาสตร์ เพราะผลไม้คือส่วนของรังไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่ของพืชดอก ส่วนผักคือพืชที่กินได้ของพืชล้มลุก ไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ก้าน หัว หน่อ ดอก ซึ่งโดยปกติแล้วคนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่ามะเขือเทศคือผักเพราะนำไปใช้ประกอบอาหารกันเป็นส่วนใหญ่ และมักคิดว่าผลไม้คือสิ่งที่ให้ความหวานนั่นเอง โดยมะเขือเทศที่นิยมรับประทานมากคือ มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศราชินี
ข้อควรรู้ ! :
มะเขือเทศนั้นจัดว่าเป็นผลไม้ที่คนทั่วโลกนิยมรับประทานกันมากที่สุด โดยนิยมรับประทานกันมากกว่าผลไม้ยอดนิยมอันดับ 2 อย่างกล้วย มากถึง 16 ล้านตันต่อปี ส่วนผลไม้อันดับ 3 คือ แอปเปิ้ลและส้ม ตามลำดับ
มะเขือเทศ นอกจากจะเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากที่สุดในโลกแล้ว ประโยชน์ของมะเขือเทศยังมีอยู่มากมาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามิเอ วิตามินเค วิตามินพี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก โดยมะเขือเทศขนาดปานกลางนั้นจะมีปริมาณของวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งลูก และมะเขือเทศหนึ่งผลมีปริมาณวิตามินเอที่ร่างกายต้องการจำนวน 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการต่อวันเลยทีเดียว ! และยังมีสารจำพวกไลโคปีน (Lycopene) แคโรทีนอยด์ เบตาแคโรทีน และกรดอะมิโน เป็นต้น และมะเขือเทศยังจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เช่น ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ขับปัสสาวะ รักษาความดัน เป็นต้น
โดยน้ำมะเขือเทศที่เราคั้นเองสด ๆ จะดีกว่าน้ำมะเขือเทศขวดหรือกล่อง และไม่ควรเลือกรับประทานมะเขือเทศดิบ เพราะอาจจะเป็นผลเสียต่อร่างกายมากกว่าจะได้รับประโยชน์ และการกินมะเขือเทศในปริมาณมากก็ไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด มีงานวิจัยมะเขือเทศออกมาว่าการรับประทานมะเขือเทศให้ได้ 10 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากเพราะจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างมาก และดีต่อสุขภาพผิวอย่างเห็นได้ชัดเจน
สรรพคุณของมะเขือเทศ
ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคหอบหืดได้มากถึง 45%
ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
มะเขือเทศมีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ การเกิดโรคหัวใจวาย สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหารและช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวก
ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราหรือเชื้อราที่ปาก
ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% หากรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ
ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ในเพศหญิง
ซอสมะเขือเทศช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังจากการหกล้มหรือถูกมีดบาดได้
ประโยชน์ของมะเขือเทศ
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้าน
มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรัยแห่งวัย
น้ำมะเขือเทศช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
ช่วยเสริมคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
มีวิตามินเอซึ่งมีส่วนชวยบำรุงสายตา
มะเขือเทศมีเบตาแคโรทีนและฟอสฟอรัสในปริมาณมาก
มะเขือเทศช่วยในการรักษาสิว ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้าหรือฝานบาง ๆ แล้วนำมาแปะหน้าก็ได้
ช่วยทำให้ผิวหน้าเต่งตึงสดใส ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้าหรือฝานบาง ๆ แล้วนำมาแปะหน้าก็ได้
มะเขือเทศใช้นำมาทำเป็นน้ำผลไม้ โดยน้ำผลไม้ที่ขึ้นชื่อก็คือน้ํามะเขือเทศดอยคํา
เป็นที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัด ซุป ยำต่าง ๆ เป็นต้น
ซอสมะเขือเทศหมักผม ด้วยการใช้มะเขือเทศหมักผมจะช่วยป้องกันการเปลี่ยนไปของสีผม อันเนื่องมาจากการว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีน
ซอสมะเขือเทศนำมาใช้ขัดเครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของคุณให้เงางามเหมือนเดิมได้ ด้วยนำซอสมะเขือเทศมาถูแล้วล้างน้ำออก
ซอสมะเขือเทศช่วยในการดับกลิ่นคาว เศษอาหาร กลิ่นปลาสลิดได้เหมือนกันนะ เพียงแค่เปิดฝาซอสทิ้งไว้ 1 คืนเท่านั้น
คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเทศสีแดงสด ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 18 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 3.9 กรัม
น้ำตาล 2.6 กรัม
เส้นใย 1.2 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 0.9 กรัม
น้ำ 94.5 กรัม
วิตามินเอ 42 ไมโครกรัม 5%
เบตาแคโรทีน 449 ไมโครกรัม 4%
ลูทีนและซีแซนทีน 123 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.037 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.594 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.08 มิลลิกรัม 6%
วิตามินซี 14 มิลลิกรัม 17%
วิตามินอี 0.54 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 7.9 ไมโครกรัม 8%
ธาตุแมกนีเซียม 11 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.114 มิลลิกรัม 5%
ธาตุฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม 3%
ธาตุโพแทสเซียม 237 มิลลิกรัม 5%
ไลโคปีน 2,573 ไมโครกรัม
การปลูกมะเขือเทศ
สำหรับใครที่กำลังมองหา “วิธีปลูกมะเขือเทศ” ไว้รับประทานเองที่บ้านสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องขนาดพื้นที่ ไม่ว่าคุณจะมีสวนหน้าบ้าน หลังบ้าน ระเบียง หรือพื้นที่ส่วนอื่นของบ้าน ก็สามารถปลูกมะเขือเทศได้ บทความนี้จะบอกคุณถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับมะเขือเทศ อุปกรณ์ที่ใช้ปลูก และวิธีการในการปลูก ตั้งแต่เริ่มไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ กับ 9 เรื่องที่ต้องรู้ดังต่อไปนี้
1. สายพันธุ์
มะเขือเทศ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycopersicon esculentum Mill. เป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ดังต่อไปนี้
มะเขือเทศเชอร์รี่ (Cherry Tomato) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อ คือ มะเขือเทศราชินี ซึ่งผลมีขนาดเล็กที่สุด ผลมีทั้งสีเหลืองและสีแดง เนื้อน้อย รสชาติและกลิ่นเข้มข้นกว่ามะเขือเทศพันธุ์อื่น ๆ ให้รสเปรี้ยวอมหวาน แต่ถ้าสุกจัดจะนิ่มและหวาน
มะเขือเทศสีดา (Srida Pink Egg Tomato) เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกรับประทาน ผลมีสีแดงอมชมพู เนื้อค่อนข้างแข็ง ไม่มีกลิ่น มักให้รสชาติจืดและเปรี้ยวเป็นหลัก
มะเขือเทศเนื้อสีแดง (Red Tomato) ผลจะมีขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ ผลสุกมีสีแดงเข้ม เป็นพันธุ์ที่นิยมนำไปแปรรูปในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะมีเนื้อและน้ำมาก แต่กลิ่นค่อนข้างแรง
มะเขือเทศอิตาลี (Italian Tree Tomato) ลำต้นใหญ่ ผลสีแดงสดขนาดกลาง-ใหญ่ มีหยักเล็กน้อย รสชาติดีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะสำหรับปลูกไว้รับประทานหรือเป็นไม้ประดับ
มะเขือเทศเครือส้ม (Wild Tomato) เป็นมะเขือเทศพันธุ์ท้องถิ่น พบมากแถวภาคเหนือและภาคอีสาน เป็นไม้เลื้อย ออกลูกเป็นเครือ มีหลายสีทั้ง สีเขียว แดง และเหลือง ผลสุกเนื้อนิ่มและเนื้อน้อย ให้รสชาติจืดอมเปรี้ยว
2. อุปกรณ์
เมล็ดพันธ์ุ เลือกพันธุ์ที่ต้องการ เช่น พันธุ์ที่ปลูกทานสด หรือพันธุ์ที่ส่งโรงงาน
อุปกรณ์ในการเพาะต้นกล้า
กระบะเพาะ ถาดเพาะ กล่องพลาสติก หรือถุงปลูก
ดินผสม
ขุยมะพร้าวหรือฟาง
เครื่องมือการเกษตร เช่น พลั่ว ช้อนปลูก ส้อมพรวน คราด รถไถ มีด กรรไกรตัดแต่ง บัวรดน้ำ ท่อ ผาใบ และ สายยาง เป็นต้น เพื่อใช้ในช่วงที่มีการเตรียมดินก่อนที่จะเพาะปลูกลงดินจริง ตลอดจนการตัดแต่ง ดูแลรักษา และเก็บเกี่ยวผลผลิต
สารชีวภาพและปุ๋ย ตั้งแต่การนำปูนขาวมาช่วยในการปรับสภาพดิน ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกผสมลงในแปลง ตลอดมาจนการใส่ปุ๋ยตามสูตรเพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตเพื่อพัฒนาใบ ดอกและการออกผล
3. ปลูกในสวนหลังบ้าน
ท่านสามารถเลือกปลูกมะเขือเทศได้เกือบทุกสายพันธุ์ โดยเริ่มจากการหาพื้นที่ในบริเวณบ้านที่มีแสงส่องตลอดทั้งวัน หรืออย่างน้อยประมาณ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน นำต้นกล้าอายุประมาณ 15 วันมาลงในแปลงปลูก โดยผู้ปลูกต้องให้น้ำอยู่เสมอ ตั้งแต่เริ่มต้นปลูกจนผลเริ่มแก่ และอย่าลืมหมั่นดูแลต้นมะเขือเทศโดยการใส่ปุ๋ยหรือสารชีวภาพ รวมถึงการกำจัดวัชพืชบริเวณแปลงผัก และป้องกันสัตว์อื่น ๆ ไม่ให้มาทำลายหรือทำให้เกิดโรคได้
4. ปลูกแบบแขวน
เป็นอีกวิธีที่สะดวกในเคลื่อนย้าย แต่ผู้ปลูกจำเป็นต้องรดน้ำบ่อยขึ้น เพราะต้นมะเขือเทศไม่ได้อยู่บนพื้นดิน และโครงสร้างวัสดุที่ใช้ก็ต้องแข็งแรง ทั้งนี้การปลูกแบบแขวนมีข้อดีอยู่มากและยังทำได้ง่ายอีกด้วย เพียงแค่นำต้นกล้ามะเขือเทศพันธุ์ใดก็ได้จากกระบะเพาะอายุประมาณ 7-10 วันมาปลูกลงในกระถาง แล้วนำลวดหรือวัสดุมายึดไว้ จากนั้นนำไปแขวนในพื้นที่ที่ต้องการ เพียงแค่นี้ก็เสร็จสิ้น เหมาะสำหรับท่านที่มีพื้นที่จำกัดแต่อยากปลูกผักไว้ทาน
5. ปลูกในถุง
อีกหนึ่งวิธีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายก็คือ การปลูกมะเขือเทศในถุง ซึ่งวิธีการก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่นำต้นกล้าอายุประมาณ 7-10 วันจากกระบะเพาะ ย้ายมาปลูกในถุงดำขนาด 8 นิ้วขึ้นไป เมื่อต้นเริ่มโต ให้นำไม้มาทำหลักให้ต้นมะเขือเทศได้เกาะยึด จากนั้นก็ให้ปุ๋ยอินทรีย์เร่งใบ เร่งดอก หมั่นรดน้ำเป็นประจำ และที่สำคัญอย่าลืมให้ต้นมะเขือเทศได้รับแสงแดดที่เพียงพอ
6. ฤดู
แม้ว่ามะเขือเทศจะเติบโตได้ดีและสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่การออกผลกลับต้องอาศัยสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น ฤดูที่เหมาะที่สุดในการปลูกจึงเป็นฤดูหนาว โดยช่วงหยอดเมล็ดพันธุ์ควรอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม เพราะนอกจากจะเหมาะต่อการติดผลแล้ว ยังลงทุนต่ำกว่าฤดูอื่นและให้ผลิตสูง รวมถึงศัตรูพืชก็รบกวนน้อยอีกด้วย
7. ปลูกแบบไฮโดรฯ
ไฮดรอโปนิกส์ก็คือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน โดบเราสามารถปลูกมะเขือเทศได้ในขวดพลาสติกด้วยขั้นตอนดังนี้
นำเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศวางบนทิชชูเปียกบนกระบะเพาะประมาณ 1-3 วัน
ย้ายเมล็ดพันธุ์มาวางบนฟองน้ำขนาด 1x1 นิ้ว ที่ชุ่มน้ำ รอประมาณ 1 สัปดาห์
ทำการย้ายต้นกล้าลงบนขวดพลาสติกที่ผสมธาตุอาหาร A และ B ไว้เรียบร้อยแล้ว หมั่นดูแลรักษาระดับน้ำ ทุก ๆ 2-3 วัน
รอเก็บเกี่ยว
เพียงแค่นี้ท่านก็มีมะเขือเทศผลสดแดงแบบไร้ดินไว้รับประทาน ที่สำคัญวิธีนี้ปลูกได้ตลอดทั้งปี แถมมีศัตรูพืชรบกวนน้อยอีกด้วย
8. การดูแล
การพรวนดินกลบต้น: เพื่อสามารถให้น้ำได้อย่างสะดวก น้ำไม่ขัง ช่วยให้มะเขือเทศเกิดรากมากขึ้น โดยให้ทำในช่วงที่ต้นกล้าตั้งตัวได้แล้ว
คลุมด้วยหญ้า: ให้นำหญ้าหรือฟางมาคลุมต้นจะช่วยกำจัดวัชพืชและกักเก็บความชื้นไว้ได้
การปักค้าง: เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้ดี ดูแลและฉีดยากำจัดวัชพืชได้ทั่วถึง ควรทำก่อนระยะออกดอก
เขย่าไม้ค้ำหรือหลักเบา ๆ : เพื่อเป็นการกระตุ้น ช่วยเพิ่มปริมาณการออกผล โดยทำสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 2-5 วินาที ให้ทำในช่วงที่เริ่มผลิดอก
รดน้ำทุก 7-10 วัน: แต่สำหรับการปลูกแบบแขวนแนะนำให้รดน้ำ 3-5 วัน ซึ่งการรดน้ำแบบหยดหรือฝังท่อ จะดีกว่าการรดน้ำจากด้านบน
การเลือกปุ๋ย: เพื่อช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตที่ดี รวมถึงต้องเลือกสูตรปุ๋ยให้เหมาะสมกับความต้องการ เช่น สูตรปุ๋ยเร่งใบ สูตรปุ๋ยเร่งดอก หรือสูตรปุ๋ยบำรุงผล
9. การเก็บเกี่ยว
โดยเฉลี่ยแล้วเมื่อปลูกได้ประมาณ 30-45 วัน มะเขือเทศก็จะเริ่มออกดอก ถัดมาเมื่ออายุประมาณ 70-90 วัน (3เดือน) ก็สามารถที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลได้ รอจนผลสุกดีแล้วค่อยเก็บมาทำอาหารตามที่ต้องการ
เป็นอย่างไรกันบ้าง กับ “วิธีปลูกมะเขือเทศ” ตั้งแต่การทำความรู้จักสายพันธุ์ การเริ่มต้นเพาะปลูก อุปกรณ์ วิธีการและลักษณะการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ ตลอดจนการดูแลรักษาไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ที่ได้ถ่ายทอดให้แก่ทุกท่านได้ทราบและลองนำไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่ว่างในบ้านของท่านเพื่อให้ได้ผักสดปลอดสารพิษไว้รับประทานอย่างประหยัด
ข้อมูลทั่วไป
อายุ 4-5 เดือน
แดด เต็มวัน
ดิน ร่วน
ชุ่มน้ำ 1-2 ครั้ง
เมล็ด
สูง ประมาณ 10 ม.
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)